- Category: ข่าวสุขภาพ
- Published: Monday, 08 May 2017 03:31
- Written by Super User
- Hits: 10874
จานอร่อยเพื่อคนสุขภาพดี จานรักษาโรค ตามแพทย์แนะนำ
การดูแลสุขภาพที่ส่งผลดีต่อด้านร่างกาย และด้านจิตใจ
รับจัดบรรยาย สัมมนาสุขภาพ ให้กับหน่วยงานและองค์กรต่างๆ
สอนปฏิบัติ แนะวิธีดูแลสุขภาพด้วยอาหาร ออกกำลังกาย
การออกกำลังกาย เคลื่อนไหวในน้ำต่อเนื่องกัน มีความหนัก ความเบาผสมผสานกัน มีจังหวะของดนตรี
อ่านม่านตา เข้าใจสุขภาพ และปลดล็อค Inner เพื่อ Growth Mind Set
ทุกวันนี้เป็นยุคสมัยของสุขภาพ ในตลาดจึงเต็มไปด้วยวิตามิน อาหารเสริมนานาชนิด ส่วนหนึ่งอ้างว่าเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับวัยใดวัยหนึ่งโดยเฉพาะ คำถามคือ เมื่อถึงวัยหมดประจำเดือนแล้ว จะกินอะไร จะกินดีไหมหรือไม่ต้อง แล้วจะเลือกกินวิตามินกับอาหารเสริมอย่างไรดี
วิตามินอาหารเสริมสำหรับคนวัยหมดประจำเดือน
พญ.ลลิตา ธีระสิริ
ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนว่า ที่จริงวิตามินและอาหารเสริมล้วนหาได้จากอาหารในชีวิตประจำวัน หากกินอาหารที่ถูกต้องและเหมาะสมแล้ว ในวัยของแม่ก็ย่อมไม่ต้องการอะไรมาเป็นอาหารเสริมเลย คำว่า “ถูกต้อง” หมายความว่ากินให้ครบ 5 หมู่ กินทั้งคาร์โบไฮเดรท โปรตีน ไขมัน วิตามินเกลือแร่ และน้ำ ส่วนคำว่า “เหมาะสม” หมายความว่าแต่ละหมู่น่ะกินมากน้อยเท่าใดจึงจะทำให้มีสุขภาพดี
อาหารในชีวิตประจำวันจึงหนีไม่พ้นการกินข้าวกล้องทุกมื้อ กินผักสดผลไม้สดวันละ 5 ส่วนอาหารหรือวันละ ครึ่งกก.ตามที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ กินโปรตีนไม่มาก เท่ากับวันละ 100-180 กรัมแล้วแต่ว่าคุณตัวโตหรือตัวเล็ก กินไขมันนิดเดียวแบบอาหารไทยดั้งเดิม กินแกงส้ม ต้มยำ ส้มตำ แกงป่า แกงเลียงอะไรทำนองนี้ เท่านี้ก็บรรลุวัตถุประสงค์ของอาหารแนวธรรมชาติบำบัด ซึ่งทำให้มีสุขภาพดี
หากสูงอายุแล้ว เป็นผู้หญิง แต่ทำไม่ได้ตามนี้ จะด้วยเหตุผลอะไรก็เถอะและมีอาการบางอย่าง ก็ควรเลือกใช้วิตามินและอาหารเสริมตามปัญหาสุขภาพตามอาการของตนเอง แต่ละคนก็จะไม่เหมือนกัน ซึ่งจะขอยกตัวอย่างมาแนะนำ สัก 10 รายการ ดังต่อไปนี้
1. อาการสวิงสวายในวัยทอง ร้อนวูบวาบ หงุดหงิด อารมณ์แปรปรวน ซึ่งเป็นกลุ่มอาการในวัยหมดประจำเดือน แนะนำให้ใช้ เซเลเนียม (เม็ดละ 100 ไมโครกรัม) วันละครั้ง ครั้งละ 1 เม็ดหลังอาหารเช้า
2. หากมีอาการวัยทองรุนแรง ผิวแห้ง แน่นหน้าอก เครียดง่าย ขี้กังวล อ่อนเพลีย ไม่กระฉับกระเฉง ใช้ไอโซฟลาโวน ซึ่งเป็นสารสะกัดจากถั่วเหลือง ซึ่งจะมีประโยชน์กับผู้หญิงสูงวัย และสามารถป้องกันกระดูกผุได้ด้วย เพราะไอโซฟลาโวนจะทำให้การดูดซึมแคลเซี่ยมในระดับลำไส้สะดวกง่ายดายขึ้นให้ใช้ไอโซฟลาโวน เม็ดละ 25-30 มก. ครั้งละ 1 เม็ด วันละ 2 ครั้ง หลังอาหารเช้า เย็น
3. หากมีอาการผิวพรรณไม่สดใส ไม่มีน้ำไม่มีนวล ปวดเมื่อยทั้งตัว เดี๋ยวปวดหลัง ปวดเอว ปวดตามข้อ หากต้องการทำให้ผู้หญิงวัยนี้มีสุขภาวะที่ดีขึ้น ให้ใช้กรดแกมม่าไลโนเลนิก ร่างกายจะเปลี่ยนกรดไขมันจำเป็นชนิดนี้ให้กลายเป็นโพรสตาแกลนดินอี 1 ซึ่งจะแก้ปัญหานี้ได้ แต่ต้องงดของแสลงประเภท ชา กาแฟ นมวัวและผลิตภัณฑ์จากนมวัว เหล้า บุหรี่ ด้วย จึงจะใช้ได้ผล
ในท้องตลาดมีกรดแกมม่าไลโนเลนิก อยู่หลายแบบได้แก่ น้ำมันพริมโรสบานเย็น น้ำมันบอเรจและน้ำมันแบล็กเคอร์แรนท์ เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งตามแต่ชอบ โดยใช้วันละ 2 กรัมเช่นน้ำมันพริมโรสบานเย็น เม็ดละ 1 กรัม ครั้งละ 1 เม็ด วันละ 2 ครั้ง หลังอาหารเช้า เย็น (ถ้าเป็นเม็ดละ 500 กรัม ก็ใช้ ครั้งละ 2 เม็ดวันละ 2 ครั้ง เป็นต้น)
4. หากกระดูกเริ่มผุ (จากการตรวจ) ปวดเมื่อยเนื้อตัวมาก ปวดหลังปวดเอว เกิดอาการนั่งโอยลุกโอย เป็นตะคริวบ่อย ให้ใช้ แคลเซี่ยมร่วมกับแมกเนเซี่ยม ในกรณีของกระดูกผุก็ใช้กับไอโซฟลาโวนดังข้างต้นด้วยก็จะยิ่งดี
สำหรับแคลเซี่ยมกับแมกเนซี่ยมตามธรรมชาติจะอยู่รวมกันในรูปของแร่ธาตุที่ชื่อ โดโลไมท์ ในท้องตลาดมีขายเป็นอาหารเสริมสำเร็จรูปอยู่แล้ว กินครั้งละ 2 เม็ด วันละ 2 ครั้งหลังอาหารเช้าเย็น
5. หากเดินมีเสียงดัง เสียวในข้อเข่าข้อเท้า เดิน ๆ อยู่ดี ๆ ไม่มีแรง ข้อพับลงไป มีอาการปวดข้อ เพราะข้อเสื่อม ซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากสูงอายุ ใช้ข้อมานานแล้ว กระดูกอ่อนที่หุ้มกระดูกแข็งที่มาชนกันตรงข้อเข่า ข้อเท้าบางตัวลง ทำให้ปวดข้อ ให้ใช้อาหารเสริมชื่อ กลูโคซามีนและคอนดรอยตินซึ่งมักจะมาคู่กัน เพิ่มความหนาตัวของกระดูกอ่อนในข้อ ใช้ไปนานประมาณ 2 สัปดาห์ก็จะเห็นผล
ให้ใช้กลูโคซามีนและคอนดรอยตินวันละ 1500 มก. เช่นถ้าใช้เม็ดละ 500 มก. ก็ใช้ครั้งละ 1 เม็ด วันละ 3 ครั้งหลังอาหาร หรือไม่เช่นนั้นหากใช้ชนิดผงซึ่งบรรจุซอง ซองละ 1500 มก. ก็ใช้วันละ 1 ซอง เป็นต้น
6. หากขี้กังวล ขี้เครียด ห่วงโน่นห่วงนี่เกินกว่าเหตุ นอนไม่ดี สมองทำงานช้าลง ให้ใช้วิตามินบีที่รวมบีทุกชนิด ปริมาณสูงพอสมควร เช่นวิตามิน บี100 คือมีบีทุกประเภทปริมาณ 100 มก. ให้สมองสามารถนำไปสร้างสื่อนำประสาท เพื่อการทำงานของระบบประสาทเป็นไปอย่างราบเรียบยิ่งขึ้น
ให้ใช้ บี 100 ครั้งละ 1 เม็ด วันละครั้ง หลังอาหารเช้า
7. หากภูมิต้านทานไม่ดี เป็นหวัดบ่อย ติดเชื้อบ่อย รวมทั้งเครียดมากด้วยให้ใช้วิตามินซีชีวภาพ ซึ่งเป็นวิตามินซีเลียนแบบธรรมชาติ ในเม็ดจะประกอบด้วย กรดแอสคอร์บิก อยู่รวมกับ รูติน เอสเปอริดีน ไบโอฟลาโวนอยด์ หรือรวมกับโรสฮิป ดูข้างขวดดี ๆ ว่าไม่ใช่ซี แอลคอร์บิกเฉย ๆ
ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นเลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็นวิตามินซีไร้กรด หรือมีกรดน้อยจะดีกว่า เพราะวิตามินซีทั่วไปตามท้องตลาดส่วนใหญ่จะมีกรดมาก และจะตกผลึกที่ไต เราคงอยากถนอมไตเอาไว้ใช้นาน ๆ โดยการเลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่เป็นอันตรายต่อไต อย่างซีไร้กรด หรือซีกรดน้อย จริงไหมให้ใช้วิตามินซีชีวภาพเม็ดละ 1 กรัม วันละ 1-2 เม็ด กินครั้งเดียวหลังอาหารเช้า
8. หากมีอาการแน่นท้อง ลมในท้องมาก ท้องอืดเฟ้อ เรอมาก ท้องเสียง่าย กินอะไรก็เสาะท้องให้ใช้น้ำตาลเชิงซ้อน FOS หรือฟรุกโตโกแซ็คคาไรด์ หรือที่เรียกว่า “พรีไบโอติก” น้ำตาลเชิงซ้อนนี้ร่างกายไม่มีเอนไซม์ย่อยมัน ร่างกายของเราจึงใช้ไม่ได้ มันจะเหลือไปถึงระดับลำไส้แล้วกลายเป็นอาหารของแบคทีเรียที่มีประโยชน์อย่างแลคโตบาซิลไล บิฟิโดแบคทีเรีย เจ้าแบคทีเรียตัวดีจะกินน้ำตาลนี้เป็นอาหารแล้วเพิ่มจำนวน เติบโตขึ้นคลุมแบคทีเรียที่เป็นอันตรายต่อร่างกายในลำไส้ ทำให้สุขภาพลำไส้ดีขึ้น อาการทางท้องจะหายไปเองภายในเวลา 2 สัปดาห์
ให้ใช้ FOS ครั้งละ 1 ซอง ละลายน้ำดื่มวันละ 3 ครั้ง
9. หากท้องผูกถ่ายลำบาก ไขมันในเลือดสูงเป็นต้น ให้ใช้ไฟเบอร์อัดเม็ด กินก่อนอาหารทุกมื้อ เวลากินให้ดื่มน้ำตามมาก ๆ เพื่อละลายสารเส้นใยออกมาในทางเดินอาหาร มันจะทำหน้าที่เป็นมวลอุจจาระคอยซับน้ำเอาไว้ ทำให้อุจจาระนิ่ม ระบายออกมาได้ง่ายขึ้น รวมทั้งจะซับไขมันที่กินเข้าไปทิ้งออกมาเป็นอุจจาระเสียบ้าง จึงใช้ควบคุมไขมันในเลือดได้ ส่วนจะใช้เท่าใดนั้นให้ดูตามที่ข้างกล่องระบุเอาไว้
10. หากมีอาการวิงเวียน หน้ามืด ใจไม่ดี ลมในท้องมาก แน่นหน้าอก ผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดคือยาหอมแบบไทย ๆ ของเราเอง เลือกเอาแบบที่ไม่มีสารตะกั่วปนก็แล้วกัน วิธีกินยาหอม หากอยากให้ได้ผลในทันทีก็คือเอาผงยาหอมใส่ปากอมเอาไว้เลย แล้วค่อยดื่มน้ำตามทีหลัง ยาจะออกฤทธิ์เร็วกว่าการเอายาหอมละลายน้ำแล้วดื่มส่วนจะกินเท่าไรนั้นดูจากฉลากข้างขวด
เป็นที่รู้กันว่าผู้ป่วยมะเร็งควรที่จะดื่มน้ำคั้นจากผัก ผลไม้
และชาสมุนไพร เพื่อเพิ่มภูมิต้านทาน
และบางครั้งหลังให้เคมีบำบัดผู้ป่วยก็มักจะกินอะไรไม่ได้
ลองพิจารณาเครื่องดื่มทำเองง่าย ๆ ที่บ้านดังต่อไปนี้
เครื่องดื่มสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง
พญ.ลลิตา ธีระสิริ
การฟื้นภูมิต้านทานเป็นหัวใจของการรักษามะเร็งให้หายขาด เมื่อใดก็ตามที่เม็ดเลือดขาวมีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น เซลล์มะเร็งที่หลงเหลืออยู่ในซอกมุมต่าง ๆ ในร่างกายก็จะถูกทำลาย การฟื้นภูมิต้านทานกระทำได้โดยการกินผักสด ผลไม้สดปริมาณมาก มากเกินกว่าที่เราจะสามารถเคี้ยวและกลืนเข้าไป ทางแก้ปัญหาคือต้องแยกเอากากออกไปให้เหลือแต่ส่วนที่เป็นน้ำของผักผลไม้ ดื่มเข้าไปเพียงอึกเดียวก็จะได้สารอาหารเท่ากับปริมาณผัก ผลไม้เท่าที่เราใช้
ดังนั้นการดื่มน้ำคั้นแยกกากจากพืชผักจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง และต้องดื่มปริมาณอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว แก้วละ 200 ซีซี. ขึ้นไป จึงจะบรรลุเป้าหมายในการรักษามะเร็ง
ต่อไปนี้เป็นเมนูจาก ผัก ผลไม้ และสมุนไพรที่จะช่วยทำให้การกินผัก น้ำผักและผลไม้ของคนป่วยมะเร็ง ไม่น่าเบื่อหน่ายจำเจจนเกินไป
■ น้ำผักผลไม้สด อุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่และสารจากพืชผัก ที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็งและเสริมภูมิต้านทาน เช่น วิตามินเบต้าแคโรทีน วิตามินซี สารไฟโตนิวเตรียนท์
☆ พันช์แตงโม
เครื่องปรุง
น้ำแตงโม 5 ถ้วยตวง
น้ำส้มคั้น 6 ถ้วยตวง
เนื้อแตงโมเอาเมล็ดออกตักเป็นลูกกลม ๆ เล็ก ๆ 1 ถ้วยตวง
องุ่นเขียวลอกเปลือกเอาเมล็ดออก 1 ถ้วยตวง
น้ำเชื่อมจากน้ำตาลสีรำ น้ำมะนาว ใบสะระแหน่ล้างสะอาด
วิธีทำ
แยกส่วนผสมออกเป็น 2 ส่วน นำผลไม้ทุกชนิดในใส่ในอ่างแก้วแช่เย็นไว้ ส่วนของน้ำผลไม้ก็นำใส่เหยือกแช่เย็นไว้เช่นกัน
เวลาเสิร์ฟให้ผสมส่วนของน้ำและเนื้อเข้าด้วยกัน โดยเทน้ำผลไม้ที่แช่ไว้ ลงในอ่างผลไม้ ตักใส่แก้วที่มีก้านสูง แต่งหน้าด้วยสะระแหน่ 1 ใบต่อแก้ว
สรรพคุณ
แตงโมมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ช่วยการทำงานของไตให้ดีขึ้น เหมาะสำหรับผู้ป่วยบวมน้ำ
☆ น้ำมะละกอ
เครื่องปรุง
มะละกอห่าม ๆ ปอกเปลือก
วิธีทำ
หั่นเป็นชิ้นขนาดพอเข้าเครื่องแยกกากแยกน้ำตามจำนวนที่ต้องการดื่มทันที หากไม่ชินกับกลิ่นมะละกอให้บีบน้ำมะนาวได้นิดหน่อย
สรรพคุณ
มะละกอมีเบต้าแคโรทีนสูง และมีเอนไซม์ช่วยย่อยโปรตีน
☆ น้ำเบต้าแอปเปิล
เครื่องปรุง
แอปเปิล 2 ผล
แครอต 2 หัว
บีตรูตชิ้นเล็ก ๆ 1 ชิ้น
วิธีทำ
คั้นทุกอย่างด้วยเครื่องคั้นน้ำผลไม้แยกกาก
สรรพคุณ
เพิ่มภูมิต้านทาน และช่วยรักษาอาการท้องอืด
☆ น้ำแครอตผักกาดหอม
เครื่องปรุง
ผักกาดหอมล้างสะอาดผึ่งสะเด็ดน้ำ 100 กรัม
แครอตนอกหัวขนาดกลาง 1 หัว
แอปเปิล 1 ผล
น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
วิธีทำ
คั้นทั้งหมดในเครื่องคั้นน้ำผลไม้แยกกาก
สรรพคุณ
ใช้บำรุงรากผม เหมาะสำหรับคนที่ใช้เคมีบำบัดแล้วผมร่วง
☆ น้ำฝรั่งขึ้นฉ่าย
เครื่องปรุง
ฝรั่งผลโต 1 ผล
น้ำมะนาว ½ ช้อนชา
ขึ้นฉ่ายจีน 3 ต้น
วิธีทำ
คั้นในเครื่องคั้นน้ำผลไม้แยกกาก
สรรพคุณ
ลดความดันโลหิตและอาการบวมน้ำ
☆ น้ำแอปเปิลผสมผักรวม
■ ชาสมุนไพร สามารถช่วยรักษาอาการข้างเคียงของผู้ป่วยมะเร็ง เช่น นอนไม่หลับ ท้องอืด ร้อนใน บวมน้ำ
☆☆ น้ำใบเตยสด
เครื่องปรุง
ใบเตยหั่นเป็นท่อนเล็ก ๆ 1 ถ้วยตวง
น้ำ 3 ถ้วยตวง
น้ำอ้อยสดตามชอบ
วิธีทำ
ใส่ใบเตยในเครื่องคั้นแยกกากก่อน เมื่อหมดแล้ว เทน้ำผ่านเครื่อง นำน้ำใบเตยไปต้ม ชงกับน้ำอ้อย
สรรพคุณ
แก้ร้อนใน เหมาะสำหรับตอนฉายแสง
☆☆ น้ำลูกพรุน
เครื่องปรุง
ลูกพรุน 8-10 เม็ด
วิธีทำ
ต้มลูกพรุนในน้ำยีเนื้อให้กระจาย เอาเม็ดออกกรองเอากากทิ้งดื่มแต่น้ำ
สรรพคุณ
แก้ท้องผูก เหมาะสำหรับแก้อาการหลังให้เคมีบำบัด
☆☆ ชาตะไคร้
เครื่องปรุง
ตะไคร้ล้างสะอาดทุบพอแตก หั่นเป็นท่อน ๆ 3 ต้น
ใบเตยหอม ล้างสะอาด ขยำพอช้ำ หั่น แล้วคั่ว 3 ใบ
วิธีทำ
ต้มน้ำให้เดือด ใส่ตะไคร้และใบเตยหอม ต้มประมาณ 5 นาที ตักตะไคร้และใบเตยออก เสิร์ฟร้อน ๆ
สรรพคุณ
แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด ขับปัสสาวะ โดยเฉพาะหลังการใช้เคมีบำบัด
☆☆ ชามะตูม
เครื่องปรุง
มะตูมแห้ง 2 แว่นคั่วให้หอม
วิธีทำ
ต้มน้ำ 2 แก้วให้เดือดพล่าน เทใส่ในมะตูมปิดฝาไว้ 3–5 นาที แล้วดื่มแต่น้ำ
สรรพคุณ
ชามะตูมใช้สำหรับแก้ท้องเสียได้ โดยเฉพาะหลังการฉายแสงหรือเคมีบำบัด
☆☆ ชาเห็ดหอม
เครื่องปรุง
เห็ดหอม 3 - 6 ดอก
วิธีทำ
ล้างเห็ดหอมหลาย ๆ ครั้งจนสะอาด แช่น้ำร้อนทิ้งไว้จนเห็ดบาน และนิ่ม กรองน้ำไว้ใช้ หั่นเห็ดเป็นชิ้น ๆ ใส่โถปั่น เติมน้ำแช่เห็ด 1 ถ้วย ถ้าไม่พอเติมน้ำสุกจนครบ 1 ถ้วย ปั่นให้ละเอียด กรองกากออก ตั้งไฟให้เดือด
สรรพคุณ
เห็ดหอมมีสารต้านมะเร็งและเสริมภูมิต้านทาน
☆☆ชาลำไยแห้ง
เครื่องปรุง
เนื้อลำไยแห้ง 15 กรัม
ขิงแก่ 6 กรัม
พุทราจีนแห้ง 6 ลูก
น้ำ 2 ถ้วยตวง
วิธีทำ
ต้มกับน้ำดื่มแทนชา
สรรพคุณ
บำบัดอาการเวียนศีรษะ และบวมน้ำ
ฝนตกมานาน เป็นหวัดหลายรอบ
ไอน่ารำคาญ ไม่หายสักที
ทำอย่างไรดี
ไอเรื้อรัง
พญ.ลลิตา ธีระสิริ
สภาพอากาศทุกวันนี้ทำให้หลายคนป่วยเป็นหวัดและไข้หวัดกันแทบทุกคน บางรายไม่หายขาด จนป่านนี้ยังไอเรื้อรัง หมดยาปฏิชีวนะไปหลายชุดแล้วก็ยังไม่หายสนิท หากเป็นเช่นนี้ เห็นทีจะพึ่งยาอย่างเดียวไม่ได้แล้ว คงต้องหาทางบำบัดอาการไอเรื้อรังด้วยวิธีการทางธรรมชาติ ดังต่อไปนี้
1.ดื่มน้ำให้มาก
อาการไอเรื้อรัง สาเหตุหนึ่งเกิดจากทางเดินหายใจเกิดอาการระคายเคืองได้ง่าย วิธีทำให้ไอลดลงคือ ดื่มน้ำให้มากเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับเนื้อเยื่อในลำคอและหลอดลม
วิธีการคือ ดื่มน้ำสะอาด 1 แก้วหลังตื่นนอน หลังอาหารทุกมื้อ หลังมื้อเบรกเช้าและบ่าย รวมทั้งดื่มน้ำก่อนนอน
ข้อสังเกตคือ ดื่มน้ำอุ่นจะดีกว่าน้ำเย็นหรือน้ำแข็ง
ในบางครั้งอาจจะใช้น้ำมะนาวแทน วิธีทำคือ ใช้น้ำอุ่น 1 แก้ว บีบมะนาวลงไปครึ่งลูก เติมเกลือลงไป 1 หยิบมือ และน้ำผึ้งครึ่งช้อนชา หากกลัวอ้วนก็งดใช้น้ำผึ้งเสีย หรือจะใช้มะขามป้อมปั่นกับน้ำในเบลนเดอร์แทนมะนาว ยิ่งดี หรือสลับเป็นน้ำส้มคั้นสด ๆ ไม่เติมน้ำ ไม่ใส่น้ำตาล ก็ได้
2.สูดไอน้ำ
คนที่มีเสมหะในคอหรือในหลอดลมจะไอเรื้อรัง หากเสมหะไม่ถูกขับออกมาก็จะไอน่ารำคาญอยู่เช่นนั้น เสมหะยังเป็นที่อยู่ของแบคทีเรียทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังไม่รู้จบ ต้องขับออกมาให้ได้ แต่ยิ่งไอก็จะยิ่งเปลืองแรง บางคนไอจนเจ็บชายโครงเจ็บหน้าอกไปหมดแล้ว หากอยากให้เสมหะถูกขับออกมา ก็ต้องเอาน้ำไปหล่อลื่นให้เสมหะคลายเหนียวเสียก่อน การดื่มน้ำ หรือน้ำมะนาวมาก ๆ เป็นวิธีหนึ่ง แต่หากประกอบกับการสูดไอน้ำเข้าไป จะทำให้ไอน้ำเข้าไปละลายเสมหะออกมา เป็นการเยียวยาเฉพาะที่
วิธีการสูดไอน้ำ ทำได้ 2 วิธีคือ
2.1 สูดไอน้ำเข้าไปโดยตรง
ให้หากาละมังใหญ่ ใส่น้ำเดือดจัด ๆ มาวางไว้บนโต๊ะ เอาผ้าขนหนูผืนใหญ่ ๆ มาคลุมตัวคลุมกาละมังไว้ แล้วสูดเอาไอน้ำเข้าไปนานครั้งละ 5-10 นาที อาจจะหยดน้ำมันยูคาลิปตัส หรือทีทรี หรือไทม์ อย่างใดอย่างหนึ่งลงไปสัก 2-3 หยด จะทำให้รู้สึกสบายมากขึ้น
หรือจะใช้น้ำต้มสมุนไพรเช่นฟ้าทะลายโจร หรือเหงือกปลาหมอ หรือ พญายอ หรือทองพันชั่ง อย่างใดอย่างหนึ่งแทน สมุนไพรทั้งหมดนี้มีฤทธิ์แก้อาการอักเสบ หากสูดเอาไอของมันเข้าไปก็เท่ากับเป็นการรักษาเฉพาะที่
2.2 อบสมุนไพร ซาวน่า อบไอน้ำในห้อง เราหายใจเอาไอน้ำจะระเหยออกมาเข้าไปในปอด ทำให้เสมหะในคอและหลอดลมชุ่มชื้น อ่อนตัว และจะถูกขับออกมาได้ง่าย หลังจากอบความร้อนดังกล่าวแล้วให้ดื่มน้ำตามแก้วโต ๆ บางครั้งก็จะไอเอาเสมหะออกมาได้สะดวกขึ้น
3. อบความร้อนสลับเย็น
ความร้อนจะกระตุ้นเม็ดเลือดขาวให้ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น เม็ดเลือดขาวก็จะไปซ่อมเนื้อเยื่อของทางเดินอากาศที่อักเสบให้หายเร็วขึ้น รวมทั้งกำจัดแบคทีเรียได้เก่งกว่าเดิม แต่ต้องอบร้อนสลับเย็น 3 รอบจึงจะได้ผลดี
ไม่ว่าจะอบสมุนไพร อบซาวน่า อบไอน้ำ หรือแช่น้ำร้อนในอ่าง ล้วนเป็นการเอาร่างกายไปสัมผัสความร้อนทั้งสิ้น การกระทำดังกล่าวจะกระตุ้นเม็ดเลือดขาวไห้กระปรี้กระเปร่า เปรียบเช่นเอาเม็ดเลือดขาวไปซ้อมรบ จะได้ทำลายแบคทีเรีย และซ่อมเนื้อเยื่อที่อักเสบเก่งขึ้น
แต่ให้อบความร้อนเช่นที่กล่าวมา 3-5 นาที แล้วสลับอาบน้ำหรือแช่น้ำกระทั่งตัวเย็นลง การทำให้ร่างกายเย็นลงก็เพื่อส่งเม็ดเลือดขาวที่ซ้อมรบเสร็จแล้วเข้าไปสู่ปอด หลอดลม เปรียบได้กับการส่งทหารที่รบเก่งแล้วเข้าสู่สมรภูมิ ไอเรื้อรังก็จะหายเร็วขึ้น
4.ใช้สมุนไพรแก้ไอเรื้อรัง เช่น
- เห็ดหูหนูขาว เอามาครั้งละ 1/3-1/4 ดอก แช่น้ำก่อน แล้วตุ๋นในหม้อตุ๋นไฟฟ้าข้ามคืน จากนั้นใส่น้ำตาลกรวดพอให้มีรสหวานปะแล่ม ๆ กินทั้งน้ำและเนื้อ จนกว่าจะหายไอ
- รังนก กินครั้งละ 1 ขวด วันละครั้ง จนกว่าจะหายไอ หากเลือกวิธีนี้ก็แพงหน่อย
- ฟ้าทะลายโจร กินครั้งละ 4 เม็ดก่อนอาหาร วันละ 3 ครั้ง แต่ไม่ควรใช้เกิน 7 วัน
- บอระเพ็ดดองในน้ำผึ้ง ทำได้โดยล้างบอระเพ็ดให้สะอาด ตัดเป็นท่อน ๆ ละ 1 นิ้ว ตากแดด 1 วัน แล้วเอามาใส่ขวด เทน้ำผึ้งลงไปให้ท่วม ดองไว้ 2 เดือน แล้วเอามากิน จะเคี้ยวกินแต่บอระเพ็ดทีละท่อน หรือจะดื่มน้ำผึ้งครั้งละ ½ ช้อนชา วันละ 2-3 ครั้งก็ได้
- ยาอมแก้ไอมะแว้งหรือยาอมมะขามป้อม อมครั้งละเท่าใด หรืออย่างไรให้ดูจากข้างขวด จนกว่าจะหาย
- กินมะม่วงไม่รู้หาวมะนาวไม่รู้โห่ หรือหนามแดง เวลารู้สึกระคายคอ