แนะนำตัว Dr.Pong

แนะนำตัว Dr.Aom

Treatment Training and Activities (2)

< >

Balavi Delivery อาหารสุขภาพ

จานอร่อยเพื่อคนสุขภาพดี จานรักษาโรค ตามแพทย์แนะนำ

โยคะ เพื่อสุขภาพ

การดูแลสุขภาพที่ส่งผลดีต่อด้านร่างกาย และด้านจิตใจ

บรรยาย สัมมนาสุขภาพ

รับจัดบรรยาย สัมมนาสุขภาพ ให้กับหน่วยงานและองค์กรต่างๆ

คอร์สธรรมชาติบำบัด

สอนปฏิบัติ แนะวิธีดูแลสุขภาพด้วยอาหาร ออกกำลังกาย

ไฮโดรแอโรบิค

การออกกำลังกาย เคลื่อนไหวในน้ำต่อเนื่องกัน มีความหนัก ความเบาผสมผสานกัน มีจังหวะของดนตรี

Iridology

อ่านม่านตา เข้าใจสุขภาพ และปลดล็อค Inner เพื่อ Growth Mind Set

อาหารบำบัดโรคข้อ

 

                ทุกวันนี้ อายุเฉลี่ยของคนเราเพิ่มมากขึ้น สำหรับคนไทย ผู้ชายมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 72 ปี  ผู้หญิงอยู่ที่ 77 ปี  ถ้าเราอายุมากขึ้น และไม่เคยดูแลกระดูกและข้อต่อเลย  การเคลื่อนไหวของร่างกายก็จะติดขัด  ยกขาที นั่งทีแสนลำบาก  จะนั่งก็โอย  ลุกทีก็โอย 

                ปัจจุบัน การแก้ไขปัญหาสุขภาพที่เกิดจากโรคข้อยังไม่ดีนัก  ใครที่หวังพึ่งแต่ยาแก้ปวด  แก้อักเสบ  อาการโรคข้อก็มีแต่จะทรุดลงไปเรื่อย ๆ และถึงจะลงทุนผ่าตัดเปลี่ยนข้อ  ใส่ข้อเทียม  ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล่าสุด ก็ไม่สามารถทดแทนการทำงานของข้อเดิม 100%  ก็จะไม่ถูกใจตัวคุณเองอยู่ดี

                วิธีเอาชนะสารพัดโรคข้ออย่างได้ผล  ก็คือดูแลและรักษาตัวเองแบบองค์รวมใช้ธรรมชาติบำบัด ปรับอาหาร เปลี่ยนพฤติกรรม  คลายเครียด  ใช้วิตามินอาหารเสริม  สมุนไพรร่วมด้วย 

 

การปรับอาหารต้องมีความเข้าใจดังนี้               

อาหารกับโรคข้อ    อาหารสำหรับโรคข้อ ต้องมีทั้งความถูกต้องและเหมาะสม  ถูกต้องก็คือผู้ป่วยโรคข้อควรได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน น้ำหนักตัวควรอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ย ไม่ควรผอมหรืออ้วนเกินไป  อาหารในชีวิตประจำวันควรมีความสมดุลในตัวของมันเอง

               

 

อาหารควรกิน

อาหารควรระวัง

อาหารควรงด

ผักสด  ผลไม้สด

ข้าวกล้อง

อาหารไขมันต่ำ

ปลา

มันฮ่อ (walnut)

อาหารไขมันสูง  อาหารทอด

น้ำตาล  ขนมหวาน

เนื้อวัว  หมู  ไก่

ผงชูรส

อาหารสำเร็จรูป

อาหารขยะ (ปนเปื้อน)

 

 

ซุปเปอร์ฟู้ดสำหรับโรคข้อ  อาหารลดอาการปวดและอักเสบของข้อ ได้แก่ ปลา  สับปะรด  มะละกอ  แอปเปิล  ขิงสด  ชาเขียว  ถั่วเหลือง  และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง

หลายคนที่เป็นโรคข้อ  สังเกตว่ากินอาหารอย่างใดอย่างหนึ่งเข้าไปแล้ว  อาการจะกำเริบ เช่น กินหน่อไม้ไม่ได้จะปวดข้อ  กินข้าวเหนียวก็ปวดข้อ  กินแอลกอฮอล์ยิ่งไม่ได้เลย  ดังนั้นเราสามารถสังเกตตนเองว่ากินอะไรไม่ได้บ้าง และเราก็งดอาหารนั้น ๆ เสีย

               

อาหารลดน้ำหนัก   ใครก็ตามมีน้ำหนักมากเกินไป ข้อจะรับน้ำหนักไม่ไหว  ยิ่งมีอายุมากขึ้น น้ำหนักตัวที่มากเกินไปก็จะทำให้เข่า และข้อเท้าสึกหรอ และเสื่อมทรุดลงอย่างรวดเร็ว  หากอยากจะหายจากโรคข้ออย่างถาวรก็ต้องดึงน้ำหนักลงมาให้อยู่ในเกณฑ์ของดัชนีมวลกาย 

หลักการลดน้ำหนักมีอยู่ 2 ประการ ก็คือ  การกินน้อย และการเร่งเผาผลาญให้มาก  มีแต่อดอาหาร หรือกินน้อย ประกอบกับการรีดเอาไขมันออกด้วยการออกกำลังกายเท่านั้น จึงทำให้หายอ้วนได้

 

จาก หนังสือโรคข้อ รักษาด้วยธรรมชาติบำบัด  โดย พญ.ลลิตา  ธีระสิริ

บำบัดผื่นคันด้วยตนเอง

                อากาศร้อน อากาศแห้ง คนเรามักมีผื่นคัน บางคนบอกว่าเหงื่อออก ฝุ่นมาก ทำให้มีผื่น แต่ที่แท้ผื่นคันที่ผิวหนังไม่ได้เกิดจากอากาศเป็นสาเหตุทั้งหมด    แต่เกิดจากหลายสาเหตุคือ  ผื่นแพ้  ความเครียดทั้งทางกายและใจ  รวมทั้งการสัมผัสกับสารระคายเคืองต่าง ๆ

 

 

สารระคายผิว

                สารระคายผิวในชีวิตประจำวันที่พบบ่อยได้แก่ ผงซักฟอก รวมทั้งน้ำยาปรับผ้านุ่ม น้ำยาล้างจาน น้ำยาทำความสะอาด น้ำยาเช็ดพื้นเกือบทุกประเภท

                ดังนั้นหากคุณเกิดผื่นคันที่ผิวหนัง  โดยเฉพาะที่มือและเท้า  ลองพิจารณาดูว่าเกิดหลังจากคุณเปลี่ยนยี่ห้อผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน ฯลฯ หรือไม่  หรือหากไม่ได้เปลี่ยนผลิตภัณฑ์ที่คุณใช้นั้นได้เติมสารพิเศษลงไปอีกเช่นสีสะท้อนแสงเพื่อให้ผ้าดูใหม่เสมอ หรือน้ำยาทำความสะอาดเพิ่มสารที่ทำให้เกิดความแวววาวใช่หรือไม่

 

                หากใช่ คุณก็จะต้องหยุดใช้ผลิตภัณฑ์นั้น ๆ  หาอะไรอื่นที่ระคายเคืองน้อยกว่า  มีการเติมโน่นเติมนี่ลงไปในน้ำยาน้อยกว่า

                ยังมีวัสดุหรือสารบางอย่างที่อาจทำให้เกิดอาการผื่นคันที่ผิวหนังเพราะแพ้อีกเช่น ยาง โลหะประเภทนิกเกิล(จากเครื่องประดับ) น้ำหอม  เครื่องสำอาง พืชหรือยาบางชนิดทั้งยากินยาทา

                อาการแพ้วัสดุและสารข้างต้นมักจะมีประวัติเหมือน ๆ กันคือ ตอนใช้ในครั้งแรกไม่มีอาการ แต่พอใช้นาน ๆ ไปถึงจะเกิดอาการของผื่นคัน  ลองสังเกตดี ๆ เช่นอาการแพ้โลหะหรือวัสดุของเครื่องประดับมักจะเกิดบริเวณที่สัมผัสนั้นโดยตรง เช่นตรงตำแหน่งของจี้ ของกำไล หรือก้านตุ้มหู หรือบริเวณที่ใส่น้ำหอมเท่านั้น

                หากมีอาการเช่นนี้คุณต้องเลี่ยงสิ่งที่ก่ออาการแพ้ตลอดไปจึงจะหายขาด

อาการผื่นแพ้จากจิตประสาท

                อาการผื่นคันชนิดนี้มักจะเกิดเพราะมีสาเหตุทางจิตใจ เช่นเครียด กังวล  ผื่นมักจะเกิดจากการเกา ยิ่งเกายิ่งคัน ยิ่งคันยิ่งเกา ทำให้ผื่นกำเริบกลายเป็นผื่นที่เรื้อรัง  ส่วนมากพบผื่นบริเวณ ข้อมือ ข้อเท้า  แขนขาด้านนอก(ตรงที่เกาถนัด)

 

 

               ผื่นชนิดนี้อาจจะพอหาสาเหตุเริ่มต้นได้เช่น ผิวแห้ง  ผื่นแพ้  การสัมผัสสารระคายเคือง บางครั้งก็เป็นเพราะการไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลืองไม่ดี เช่นมีเส้นเลือดขอด หรือขาบวมมาก่อน ทำให้สารพิษคั่งอยู่ที่ผิวหนังทำให้เกิดอาการคัน แล้วการเกาทำให้ผื่นเรื้อรังยิ่งขึ้น

ผื่นคันในผู้สูงอายุ              

บางครั้งผู้สูงอายุก็มีผื่นคันได้ง่าย เพราะผิวคนมีอายุบางตัวลงและระคายเคืองง่ายกว่า  ประกอบกับเมื่อเกิดผื่นแล้วก็หายยากกว่าคนหนุ่มสาว  แค่อากาศร้อน เหงื่อออกมากหน่อย ก็เกิดอาการระคายเคืองแล้ว

ธรรมชาติบำบัดรักษาผื่นคัน

เมื่อเกิดผื่นคันไม่ว่าจากสาเหตุใด ให้เอาสาเหตุของอาการแพ้ออกก่อนเช่น หยุดใช้ผงซักฟอกนั้น ๆ   และธรรมชาติบำบัดมีวิธีแก้ดังนี้

              1.วิธีบรรเทาอาการคัน เพื่อไม่ให้เกาและทำให้ผื่นกำเริบทำได้ดังนี้คือ  อาจจะใช้ยาประเภทยาหม่องทาบรรเทาอาการคัน หากเป็นผื่นแห้ง และเป็นไม่มาก   นอกจากนี้เราสามารถใช้วิธีโบราณกล่าวคือ

               - ให้เอาใบพลู 5-6 ใบมาตำแล้วผสมเหล้าขาวทาบริเวณผื่นคัน วิธีนี้เหมาะสำหรับผื่นคันที่เกิดเป็นบางที่

               - ให้เอาขมิ้นชันทาผื่นวันละครั้ง วิธีทำนั้นง่ายมาก เพียงแต่ตัดหัวขมิ้นให้เปิดออกแล้วใช้ทาผื่นได้เลย  แต่ถ้าผื่นคุณมีน้ำเหลืองไหลเยิ้มแล้วไม่ควรใช้วิธีนี้  และควรเอาขมิ้นสดมาแช่ตู้เย็นค้างไว้ เพื่อทำให้หมดยางตามธรรมชาติเสียก่อน

               - ใช้น้ำสมุนไพร ทาหรือประคบบริเวณผื่นคัน  สมุนไพรที่ใช้ได้แก่ คาโมมายล์  ทีทรี ลาเวนเดอร์ เป็นต้น

              โดยเตรียมน้ำชาด้วยการต้มคาโมมายล์ แก่ ๆ(หาซื้อได้ที่โครงการหลวง) แล้วผสมลงในน้ำผสมผงฟู(โซเดียมไบคาร์บอเนต) โดยใช้น้ำ 2 ลิตรต่อผงฟู 1 ช้อนโต๊ะ  ใช้ทาผื่นหรือเอาผ้าก๊อซชุบน้ำสมุนไพรแล้วปิดไว้ตรงผื่น วันละ 1-2 ครั้ง

               ส่วน ทีทรีกับลาเวนเดอร์สามารถใช้เป็นน้ำมันหอมระเหย  โดยใช้ครั้งละ 5-8 หยด ลงในน้ำผสมผงฟู

               - ให้แช่น้ำรำข้าว วิธีนี้เหมาะสำหรับคนที่เป็นผื่นคันทั้งตัว  ทำได้ดังนี้คือ  ก่อนอื่นคุณต้องมีอ่างอาบน้ำ  ให้เตรียมน้ำเย็นใส่อ่าง  เอาน้ำแข็งโรยลงไป เอาให้เย็นจัด พอทนได้ สามารถทดสอบดูโดยเอามือจุ่มดู  แล้วลงไปนอนแช่ทั้งตัวเป็นเวลานาน 10-15 นาที  จากนั้นไขน้ำออก  เอาน้ำอุ่นจัด ๆ พอทนได้ใส่อ่างแทน  แล้วเอารำข้าวละเอียดประมาณ 100 กรัมห่อผ้าขาวบาง ขยำเอาแต่น้ำใส่ลงไปในอ่าง  แล้วลงนอนแช่นาน 20 นาที

               วิธีนี้เป็นการใช้สารแพนโทเทนิกในรำข้าวมารักษาอาการคัน  อาการคันจะหายแทบปลิดทิ้ง  แต่ข้อควรระวังคืออย่าให้รำข้าวเล็ดลอดลงไปในน้ำ เพราะเศษของรำข้าวจะทำให้เกิดผดผื่นและทำให้คันยิ่งขึ้น  อาจจะต้องใช้ผ้าขาวบางห่อ 2-3 ชั้นจึงจะดี

               หลักการนี้คือ  ต้องแช่น้ำเย็นจัดก่อน  หลังจากนั้นให้เตรียมน้ำรำอุ่น ซึ่งต้องการเวลานานประมาณ 15 นาทีหลังจากขึ้นมาจากน้ำเย็น  เพราะถึงตอนนั้นโดยปฏิกิริยาของการแช่น้ำเย็นจะทำให้เส้นเลือดที่ผิวหนังขยายตัวเต็มที่  เมื่อแช่น้ำรำ แพนโทเทนิคในรำข้าวจึงจะส่งผลแก้อาการของผื่นและแก้อาการคัน

               มีคนเทียบแพนโทเทนิกว่ามีผลเช่นเดียวกับแอนติฮีสตามีนเลยทีเดียว

                2. เพิ่มประสิทธิภาพของภูมิต้านทาน เพื่อให้ร่างกายสามารถเยียวยาตัวเองดีกว่าเดิม  โดยการเปลี่ยนอาหาร เป็นข้าวกล้องทุกมื้อ กินผักสดวันละ 2 จาน กินผลไม้สดวันละ 2 ผล และน้ำผลไม้คั้นสดวันละ 200 ซีซี. เช่นน้ำส้มคั้นสด  เพื่อที่จะได้วิตามินซีเพียงพอในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเม็ดเลือดขาวและภูมิต้านทาน

 

           มะเร็งปากมดลูกป้องกันได้

พญ.ลลิตา  ธีระสิริ

                มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่พบเป็นอันดับหนึ่งของมะเร็งในผู้หญิงไทยคือพบได้ 15.6% ของมะเร็งในผู้หญิงทั้งหมด  ว่ากันว่าผู้หญิงในประเทศด้อยพัฒนาจะเป็นมะเร็งปากมดลูกกันมาก  ทุกวันนี้มีวิธีการป้องกันมะเร็งปากมดลูกหลายวิธี  การตรวจภายในเพื่อตรวจ pap หรือการเอาน้ำในช่องคลอดไปตรวจนั้นเป็นวิธีตรวจหาร่องรอยของโรค จะได้รู้เร็วรักษาเร็วเพื่อผลการรักษาที่ดีที่สุด  ซึ่งมีคนหายขาดแล้วมากมาย

              ทุกวันนี้เรามีวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกใช้กันแล้ว โดยมีทฤษฏีอยู่ว่า มะเร็งปากมดลูกส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตัวหนึ่งชื่อ human pappilloma virus (HPV)  ไวรัสจะทำให้เซลล์ปากมดลูกเกิดการเปลี่ยน แปลงไปเป็นเซลล์มะเร็ง 

ไวรัส HPVเป็นสายพันธุ์เดียวกับไวรัสหูด  เมื่อเอามาทำวัคซีนเราก็จะมีภูมิต้านทานต่อการติดเชื้อ HPV แล้วก็จะไม่เป็นมะเร็งปากมดลูก  แต่หากต้องการให้วัคซีนได้ผลจะต้องฉีดวัคซีนตัวนี้ตั้งแต่ยังไม่มีเพศสัมพันธุ์ คือฉีดตั้งแต่อายุ 11-26 ปี หากฉีดหลังจากอายุ 35ปีไปแล้วจะไม่ได้ผลแต่อย่างใด

              แล้วคนที่อายุมากกว่าเกินจะฉีดวัคซีนได้ล่ะ จะป้องกันตัวเองจากมะเร็งปากมดลูกที่เป็นกันมากมายอย่างไร

              ที่จริงปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูกยังมีอีกหลายประการ  นอกจากการติดเชื้อไวรัส HPV แล้ว  ยังมีการสูบบุหรี่ การที่มีลูกหลายคน การมีคู่นอนหลายคน การใช้ยาคุมกำเนิด ภูมิต้านทานอ่อนแอ และมีญาติสายตรง แม่ พี่สาว น้องสาวที่เป็นโรคนี้ – เนื่องจากว่า ส่วนหนึ่งเกิดจากพันธุกรรมด้วย

              หากเรารู้จักเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงนี้ เราก็จะตัดโอกาสการเป็นมะเร็งปากมดลูกลงได้  การไม่สูบบุหรี่ การไม่ใช้ยาคุมกำเนิด ปฏิเสธการมีคู่นอนหลายคน การไม่มีลูกหลายคน  เหล่านี้เราเป็นฝ่ายเลือกได้ ก็ลดอัตราเสี่ยงลงไป  ส่วนเรื่องของกรรมพันธุ์นั้นเลี่ยงไม่ได้  ใครก็ตามที่มีประวัติมะเร็งปากมดลูกในครอบครัวจะต้องเพิ่มความระมัดระวังตัวมากยิ่งขึ้น

               ยังมีเรื่องของภูมิต้านทาน  กล่าวแล้วว่าไวรัส HPVเป็นประเภทเดียวกับไวรัสหูด  หากภูมิต้านทานดี สุขอนามัยดี เราก็จะไม่เป็นหูด  ทำนองเดียวกัน หากภูมิต้านทานของเราดี เราก็จะไม่ติดเชื้อ HPV และไม่เป็นมะเร็งปากมดลูก  ดังนั้นการปรับอาหาร การเปลี่ยนพฤติกรรม ออกกำลังกาย  คลายเครียดเพื่อเพิ่มภูมิต้านทานจึงป้องกันมะเร็งนี้ได้

                การมีภูมิต้านทานไม่ดีจะทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งปากมดลูกได้ง่ายกว่า  เช่น  ในผู้ติดเชื้อ HIV  ที่มีภูมิต้านทานอ่อนแอ จะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HPV มากกว่า  ทำให้ผู้ป่วยเอดส์มีอัตราป่วยด้วยมะเร็งปากมดลูกสูงกว่าคนธรรมดา  เรายังพบว่าหากผู้ป่วยเอดส์เป็นมะเร็งปากมดลูกแล้วมะเร็งจะลุกลามได้เร็วกว่าในคนปกติ

                แถมยังมีรายงานว่า ผู้หญิงอ้วนที่กินอาหารไม่สมดุล ผู้หญิงคนไหนที่กินผักและผลไม้น้อย แสดงว่ามีสารต้านอนุมูลอิสระน้อย จะมีโอกาสเป็นมะเร็งปากมดลูกสูงกว่า

การหันมาหาอาหารในแนวธรรมชาติบำบัด ที่กินข้าวกล้อง ผักสดผลไม้สดวันละ 500 กรัมหรือวันละ 5 ส่วนอาหาร โดยกินผักวันละ 2 จาน ผลไม้วันละ 2 ลูก ดื่มน้ำคั้นผลไม้สดวันละ 200 ซีซี  จะทำให้ภูมิต้านทานแข็งแรงขึ้น การป้องกันมะเร็งปากมดลูกก็จะได้ผลนอกจากนี้ ให้กินเนื้อสัตว์แต่พอควร กินไขมันแต่น้อย  งดนมวัว งดอาหารขยะ งดการกินเค็ม งดผงชูรส งดเหล้า บุหรี่ ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนบั่นทอนภูมิต้านทานลง

 

                ผักสดผลไม้สดซึ่งเป็นแหล่งของวิตามินซี อันมีผลโดยตรงต่อเม็ดเลือดขาวและระบบภูมิต้านทาน  เบต้าแคโรทีนมีความสำคัญต่อความแข็งแรงของเซลล์ผิวของปากมดลูกจึงต้องกิน มะละกอ ฟักทอง แครอท ผักใบเขียว เป็นประจำ  จะช่วยลดอัตราเสี่ยงลง  ส่วนวิตามินอี จากข้าวกล้องจะช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสHPV

                  ใครก็ตามที่มีประวัติญาติสายตรงเป็นมะเร็งปากมดลูก ยิ่งสมควรให้ความสนใจเรื่องอาหารและกินผักสดผลไม้สดให้ได้วันละ 500 กรัมอย่างจริงจัง



 

 

วิธีลดน้ำหนักในเด็ก

 

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าการลดน้ำหนักในเด็กไม่ว่าในอายุเท่าใด  ห้ามใช้ยาลดน้ำหนักเป็นเด็ดขาด  จะว่าไปการใช้ยาลดน้ำหนักก็เป็นอันตรายต่อผู้ใหญ่ด้วย  สรุปแล้วทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่นั่นแหละที่ต้องห้ามการใช้ยาลดน้ำหนัก

                ปัจจุบันมีหลายโรงเรียนที่รณรงค์ให้เด็กลดน้ำหนักตัวลงโดยการห้ามขายน้ำอัดลม  ขนมหวานในโรงเรียน และส่งเสริมให้กลุ่มเด็กตุ้ยนุ้ยออกกำลังกายให้มากขึ้น  นับเป็นก้าวที่สำคัญในการลดน้ำหนักตัวของเด็ก  เพราะโดยธรรมชาติแล้ว  เด็กจะเชื่อครูมากกว่าเชื่อพ่อแม่  ในเมื่อครูจัดชั้นเรียนแอโรบิกให้เด็กออกกำลังกาย  น้ำหนักตัวของเขาก็จะลดลง

                การลดน้ำหนักตัวในเด็ก มีวิธีการควบคุมอาหารแบ่งตามอายุของเด็ก  กล่าวคือ  เด็กอายุต่ำกว่า 8 ปีควรใช้วิธีหนึ่ง  ส่วนเด็กที่มีอายุมากกว่า 8 ปีไปแล้วสามารถใช้วิธีที่เข้มข้นกว่าได้

                ทำไมต้องแบ่งกันที่ 8 ปีล่ะ  เด็กอายุ 8 ปีก็เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 หรือ 3 แล้ว  สามารถรับรู้เหตุผลได้ดีกว่าเด็กที่เพิ่งขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 1  อีกประการหนึ่งเด็กที่มีอายุ 8 ปี มีความแข็งแรงของร่างกายดีพอสมควร  หากจะกินอาหารให้น้อยลงสักวัน  ก็จะไม่กระทบกระเทือนต่อสุขภาพ

                ส่วนการออกกำลังกายนั้น  ไม่ว่าอายุต่ำกว่าหรือมากกว่า 8 ปี  ก็ต้องออกกำลังกายให้มากขึ้น  น้ำหนักตัวจึงจะลดลงได้

 

---หนังสือ เลี้ยงลูกให้ไร้โรค  โดย พญ.ลลิตา ธีระสิริ

News feed