แนะนำตัว Dr.Pong

แนะนำตัว Dr.Aom

Treatment Training and Activities (2)

< >

Balavi Delivery อาหารสุขภาพ

จานอร่อยเพื่อคนสุขภาพดี จานรักษาโรค ตามแพทย์แนะนำ

โยคะ เพื่อสุขภาพ

การดูแลสุขภาพที่ส่งผลดีต่อด้านร่างกาย และด้านจิตใจ

บรรยาย สัมมนาสุขภาพ

รับจัดบรรยาย สัมมนาสุขภาพ ให้กับหน่วยงานและองค์กรต่างๆ

คอร์สธรรมชาติบำบัด

สอนปฏิบัติ แนะวิธีดูแลสุขภาพด้วยอาหาร ออกกำลังกาย

ไฮโดรแอโรบิค

การออกกำลังกาย เคลื่อนไหวในน้ำต่อเนื่องกัน มีความหนัก ความเบาผสมผสานกัน มีจังหวะของดนตรี

Iridology

อ่านม่านตา เข้าใจสุขภาพ และปลดล็อค Inner เพื่อ Growth Mind Set

ร้อนใน ยามเปลี่ยนฤดู

จากหน้าร้อนแล้งจัด ร่างกายของเรากรุ่นไปด้วยความร้อน เมื่อผ่านเข้าสู่ฤดูฝน อากาศเย็นลง
แต่ความร้อนสะสมในร่างกายยังมีมาก
ทำให้เกิดอาการ ร้อนรุ่มในร่างกาย ครั่นเนื้อครั่นตัวไม่สบาย นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย มึนศีรษะ ปวดศีรษะ บางคนมีความดันเลือดสูงขึ้น กินข้าวไม่ลง น้ำหนักตัวลด ปัสสาวะร้อนและมีน้อย ท้องผูก ท้องอืดเฟ้อ อาจจะมีแผลร้อนในปาก เป็นต้น
ในผู้สูงอายุ ทึ่เลือดลมเดินไม่ดี จะมีอาการเหล่านี้รุนแรงมากกว่าคนวัยหนุ่มสาว

 

ยามนี้คนไทยโบราณนิยมปรับธาตุเพื่อเสริมสุขภาพเช่น

• กินของขม ดับอาการตะครั่นตะครอ เช่น ดอกแค ยอดมะระขี้นก แกงขี้เหล็ก ฝักเพกา เป็นต้น
• กินอาหารฤทธิ์เย็น ดับร้อน เช่น หน่อไม้ ใบย่านาง ใบบัวบก
• กินอาหารรสเปรี้ยว เช่น ยำมะม่วง ยำกระท้อน กินยอดมะขาม ยอดสัมป่อย ต้มใส่ปลา หรือเห็ด อาศัยรสเปรี้ยวมาเพิ่มภูมิต้านทานป้องกับไข้เปลี่ยนฤดู
• กินเมี่ยงคำปรับธาตุ ที่สำคัญคือการกินใบชะพลู
• ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อหล่อลื่นการไหลเวียนของเลือด จะได้อาศัยน้ำเลือดระบายเอาความร้อนออกไปเป็นเหงื่อ ในระยะนี้ คนโบราณจึงนิยมต้มน้ำมะตูมดื่มคลายร้อน

 

สำหรับยาสมุนไพรที่สามารถใช้คลายร้อนได้ เช่น

• ยาหอม โดยทั่วไปเป็นยาเย็น การที่เอายาหอมมาละลายน้ำ จะทำให้ได้น้ำไปลดความร้อนในเวลาเดียวกัน
• ยาเขียว ที่เป็นแท่ง ฝนละลายน้ำ กินแล้วอาการครั่นเนื้อครั่นตัวจะทุเลาลง
• ยาขม หรือน้ำจับเลี้ยง ที่มีส่วนผสมของดอกเก็กฮวย ใบไผ่ เม็ดในเพกา หล่อฮั้งก้วย ฯลฯ ก็สามารถดับร้อนในร่างกายได้

การสวนกาแฟก็ช่วยได้ เพราะจะแก้อาการท้องผูกในขณะที่ช่วยล้างพิษตับ เป็นการขับความร้อนสะสมออกไปนอกร่างกายได้เร็วขึ้น อย่าลืมว่าสวนกาแฟทุกครั้ง จะต้องตามด้วยการกินโสม 1 เม็ด กับขมิ้นชัน 5 เม็ด เพื่อการขับสารพิษออกนอกร่างกายจะหมดจดยิ่งขึ้น

สุดท้าย การแช่น้ำในสระน้ำ เดินออกกำลังในระดับความลึกของน้ำเพียงอก จะช่วยทำให้ผ่อนคลาย คลายร้อน ประกอบกับการออกกำลังกาย จะทำให้คลายเครียด และนอนหลับได้ดีขึ้น
การนอนหลับที่ดี หลับลึก จะช่วยกำจัดความร้อนออกจากร่างกายได้เร็วยิ่งขึ้นด้วย เพราะร่างกายจะกำจัดความร้อนออกไปได้ดี ก็ต่อเมื่อนอนหลับได้ดี

มาตรการที่กล่าวมาอาจจะต้องทำไปพร้อม ๆ กันทั้งหมด จึงจะเห็นผลในการลดความร้อนในร่างกายลง

อันตรายของ PM2.5 ต่อสุขภาพ โดยเฉพาะต่อเด็กทารก เผยแพร่โดยองค์การยูนิเซฟ
ดูรายละเอียดได้ตามคลิปข้างล่างนี้นะคะ

โดยสรุป PM2.5 เมื่อเข้าสู่ร่างกาย
ผ่านปอดไปตามกระแสเลือด
จะมีผลต่อระบบภูมิต้านทาน หลอดเลือด หัวใจ ปอด 
และสมองที่กำลังมีพัฒนาการของเด็กเล็ก
ทำให้เด็กเติบโตมามีปัญหาในการเรียนรู้ ความทรงจำ 
การควบคุมอารมณ์ และสมองเสื่อมก่อนวัย
และจะทำให้มีอัตราเสี่ยงต่อโรคร้ายแรงเพิ่มขึ้นมากกว่าได้แก่
อุบัติเหตุทางสมอง (เส้นเลือดในสมองแตก ตีบ ตัน)
โรคหัวใจ โรคหลอดลม โรคปอด และมะเร็งปอด

ยูนิเซฟเสนอให้ป้องกัน
โดยให้ใช้วิตามินอี วิตามินซี และโอเมก้า 3

แปลว่าอาหารเด็กควรจะเป็นข้าวกล้อง ผักสดผลไม้สด และปลา


มารู้จักคาเฟอีนกัน
คาเฟอีนไม่ได้มีแต่ในกาแฟเท่านั้น

ศ.นพ.อนุวัตร ลิ้มสุวรรณ

กาเฟอีน(caféine) พบได้ในอาหารหลายชนิดได้แก่ เมล็ดกาแฟ, ชา, โคล่า 
สารนื้มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้ร่างกายเกิดความตื่นตัวและลดความง่วงได้ เครื่องดื่มหลายชนิดมีกาเฟอีนเป็นส่วนผสม เช่นในกาแฟ น้ำชา น้ำอัดลมรวมทั้งเครื่องดื่มชูกำลัง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้กาเฟอีนเป็นสารกระตุ้นประสาทที่ได้รับความนิยมมาก. กาแฟพันธุ์อาราบิกาจะมีปริมาณกาเฟอีนน้อยกว่ากาแฟพันธุ์โรบัสตา. โดยทั่วไปกาแฟเอสเปรสโซจากเมล็ดกาแฟพันธุ์อาราบิกาจะมีกาเฟอีนประมาณ 40 มิลลิกรัม นอกจากนี้ในเมล็ดกาแฟยังพบอนุพันธุ์ของกาเฟอีน คือธีโอฟิลลีน (Theophyllin) ในปริมาณเล็กน้อยอีกด้วย. 
***แหล่งที่มาของกาเฟอีน:
1)ใบชายังเป็นแหล่งของกาเฟอีนที่สำคัญอีกแหล่งหนึ่ง พบว่าจะมีกาเฟอีนมากกว่ากาแฟในปริมาณเดียวกัน แต่วิธีชงดื่มของชานั้น ทำให้ปริมาณกาเฟอีนลดลงไปมาก แต่ชาจะมีปริมาณของธีโอฟิลลีนอยู่มาก และพบอนุพันธุ์อีกชนิดของกาเฟอีน คือธีโอโบรมีน (Theobromine) อยู่เล็กน้อยด้วย ชนิดของใบชาและกระบวนวิธีการเตรียมก็เป็นปัจจัยสำคัญของกาเฟอีนในน้ำชาเช่นเดียวกับในกาแฟ เช่นในชาดำและชาอูหลงจะมีกาเฟอีนมากกว่าในชาชนิดอื่นๆ อย่างไรก็ตาม สีของน้ำชาไม่ได้เป็นลักษณะบ่งชี้ถึงปริมาณกาเฟอีนในน้ำชา เช่นในชาเขียวญี่ปุ่นซึ่งจะมีปริมาณกาเฟอีนสูงกว่าชาดำบางชนิด. 
2)ช็อคโกแลตซึ่งผลิตมาจากเมล็ดโกโก้ก็เป็นแหล่งของกาเฟอีนเช่นเดียวกัน แต่ในปริมาณที่น้อยกว่าเมล็ดกาแฟและใบชา แต่เนื่องจากในเมล็ดโกโก้มีสารธีโอฟิลลีนและธีโอโบรมีนอยู่มาก จึงมีฤทธิ์อ่อนๆในการกระตุ้นประสาท อย่างไรก็ตาม ปริมาณของสารดังกล่าวนี้ก็ยังน้อยเกินไปที่จะให้เกิดผลกระตุ้นประสาทเช่นเดียวกับกาแฟในปริมาณที่เท่ากัน. 
3)น้ำอัดลมและเครื่องดื่มชูกำลังเป็นเครื่องดื่มที่พบกาเฟอีนได้มากเช่นเดียวกัน น้ำอัดลมทั่วไปจะมีกาเฟอีนประมาณ 10-50 มิลลิกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค ขณะที่เครื่องดื่มชูกำลัง เช่นกระทิงแดง จะมีกาเฟอีนอยู่มากถึง 80 มิลลิกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค กาเฟอีนที่ผสมอยู่ในเครื่องดื่มเหล่านี้อาจมาจากพืชที่เป็นแหล่งผลิต แต่ส่วนใหญ่จะได้จากกาเฟอีนที่สกัดออกระหว่างการผลิตกาแฟพร่องกาเฟอีน (decaffeinated coffee)
**การออกฤทธิ์. เนื่องจากกาเฟอีนเป็นสารในกลุ่มแซนทีนแอลคาลอยด์ที่มีโครงสร้างคล้ายคลึงกับแอดิโนซีน(Adenosine) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทชนิดหนึ่งในสมอง โมเลกุลของกาเฟอีนจึงสามารถจับกับตัวรับแอดิโนซีน (adenosine receptor) ในสมองและยับยั้งการทำงานของแอดิโนซีนได้ ผลโดยรวมคือทำให้มีการเพิ่มการทำงานของสารสื่อประสาทโดปามีน (dopamine) ซึ่งทำให้สมองเกิดการตื่นตัว นอกจากนี้พบว่าอาจจะมีการเพิ่มปริมาณของซีโรโทนิน (serotonin) ซึ่งมีผลต่ออารมณ์ของผู้บริโภค ทำให้รู้สึกพึงพอใจและมีความสุขมากขึ้น อย่างไรก็ตาม กาเฟอีนมิได้ลดความต้องการนอนหลับของสมอง เพียงแต่ลดความรู้สึกเหนื่อยล้าลงเท่านั้น. อย่างไรก็ดี สมองจะมีการตอบสนองต่อกาเฟอีนโดยการเพิ่มปริมาณของตัวรับแอดิโนซีน ทำให้ฤทธิ์ของกาเฟอีนในการบริโภคครั้งต่อไปลดลง เราเรียกภาวะนี้ว่าภาวะทนต่อกาเฟอีน (caffeine tolerance) และทำให้ผู้บริโภคต้องการกาเฟอีนมากขึ้นเพื่อให้เกิดผลต่อร่างกาย ผลอีกประการที่เกิดจากการที่สมองเพิ่มปริมาณของตัวรับแอดิโนซีน นั่นคือทำให้ร่างกายไวต่อปริมาณแอดิโนซีนที่ผลิตตามปกติมากขึ้น เมื่อหยุดการบริโภคกาเฟอีนในทันที จะทำให้เกิดผลข้างเคียงคืออาการปวดศีรษะและรู้สึกคลื่นไส้อาเจียน ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ร่างกายตอบสนองต่อแอดิโนซีนมากเกินไปนั่นเอง นอกจากนี้ ในผู้ที่หยุดบริโภคกาเฟอีนจะทำให้ปริมาณของโดปามีนและซีโรโทนินลดลงในทันที ส่งผลให้สูญเสียสมาธิและความตั้งใจ รวมทั้งอาจเกิดอาการซึมเศร้าอย่างอ่อนๆได้ อาการดังกล่าวนี้จะเกิดขึ้นประมาณ 12-24 ชั่วโมงหลังจากการหยุดบริโภคกาเฟอีน แต่จะหายไปได้เองภายใน 2-3 วัน อาการของการอดกาเฟอีนดังกล่าวสามารถบรรเทาได้โดยการใช้ยาแอสไพริน หรือการได้รับกาเฟอีนในปริมาณน้อย การบริโภคกาเฟอีนปริมาณมากเป็นเวลานาน อาจนำไปสู่ภาวะเสพติดกาเฟอีน (caffeinism) ซึ่งจะปรากฏอาการต่างๆทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ เช่น กระสับกระส่าย วิตกกังวล กล้ามเนื้อกระตุก นอนไม่หลับ ใจสั่น เป็นต้น. นอกจากนี้การบริโภคกาเฟอีนเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร ลำไส้เล็กอักเสบ และโรคน้ำย่อยไหลย้อนกลับ (gastroesophageal reflux disease) ในผู้ที่บริโภคกาเฟอีนปริมาณมากๆในเวลาเดียว (มากกว่า 400 มิลลิกรัม) อาจทำให้ระบบประสาทส่วนกลางถูกกระตุ้นมากเกินไป ภาวะนี้เรียกว่าภาวะพิษกาเฟอีน (caffeine intoxication) ซึ่งจะทำให้เกิดอาการกระสับกระส่าย นอนไม่หลับ ความคิดและการพูดสับสน หน้าแดง ปัสสาวะมากผิดปกติ ปวดท้อง หัวใจเต้นแรง ในกรณีที่ได้รับในปริมาณสูงมาก (150-200 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักร่างกาย 1 กิโลกรัม) อาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้

***การรักษาผู้ที่เกิดภาวะพิษกาเฟอีนโดยทั่วไปจะเป็นการรักษาตามอาการที่เกิด แต่หากผู้ป่วยมีปริมาณกาเฟอีนในเลือดสูงมาก อาจต้องได้รับการล้างท้องหรือฟอกเลือด

News feed