เตรียมสุขภาพรับหน้าฝน

 

พญ.ลลิตา  ธีระสิริ



 ฝนเริ่มตกแล้ว เรากำลังผ่านจากฤดูร้อนเข้าสู่ฤดูฝน

 มาเตรียมสุขภาพให้พร้อมรับมือกับฝนกันเถอะ
 


 โรคที่มักจะมากับฝนแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ  ได้แก่

              1.โรคจากเชื้อไวรัส โดยเฉพาะไวรัสของทางเดินหายใจ

                  อากาศที่เย็นลง กับความชื้นที่มาจากฝนทำให้ไวรัสกลุ่มทางเดินหายใจโตเร็วกว่าปกติ  เราจึงมีโรคหวัด ไข้หัด และไข้หวัดใหญ่ ระบาดในหน้านี้  เด็ก ๆ ในบ้านของคุณป่วยมากี่รอบแล้วล่ะ  ต้องไปหาหมอกี่ครั้ง  ต้องกินยาปฏิชีวนะมานานเท่าไรแล้ว  ต้องหยุดเรียนกี่วัน  ไปติดหวัดมาจากเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนกี่ครั้ง  แล้วตัวคุณเองล่ะเป็นหวัดมากี่รอบแล้ว    ...  ปฏิเสธไม่ได้ว่า นี่คือปัญหาสุขภาพในบ้านในระยะนี้

                  หวัดและไข้หวัดมักจะทำให้เกิดอาการเจ็บคอ ไอ มีเสมหะ  กลายเป็นคออักเสบเพราะเชื้อแบคทีเรียแทรก  หากการติดเชื้อลุกลามไปก็จะกลายเป็นหลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบและปอดบวม ทำให้อาการทรุดหนักลงเรื่อย ๆ

                   ธรรมดาหวัดและไข้หวัดที่เกิดจากเชื้อไวรัสจะหายไปได้เองภายใน 7 วัน หากมีไข้ ภายใน 3 วันไข้ควรจะลด  แล้วหลังจากนั้นอาการควรทุเลาลงเรื่อย ๆ  น่าจะถือเอาว่า  หากใครเป็นอะไรเกิดกว่า 3 วันไปแล้ว ควรจะไปปรึกษาหมอเสีย  อาการต่างๆ จะได้ไม่เรื้อรัง

               2.โรคจากยุง

                  ปีนี้อากาศร้อนจัด  องค์การอนามัยโลกคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าปีนี้แมลงโดยเฉพาะยุงจะเจริญพันธุ์ได้มากกว่าปีก่อน ๆ   สังเกตไหมล่ะว่าปีนี้ยุงมากเหลือเกิน  เมื่อยุงมาก เราก็จะมีโรคที่เกิดจากยุงระบาดได้ด้วย

                  มาเลเรีย ระบาดแน่นอน  ยุงก้นปล่องอยู่ในป่า  มาเลเรียจึงพบอยู่ตามชายแดนไทยเท่านั้น  คนในเมืองหลวงไม่ถูกกระทบกระเทือนเท่าใดนัก  แต่หากใครไปเที่ยวแถบดงมาเลเรีย เมืองกาญจน์เป็นต้น  หากกลับมาแล้วมีไข้ภายใน 1-2 สัปดาห์ ควรคิดถึงการติดเชื้อมาเลเรียไว้ด้วย  สำหรับโรคนี้ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าป้องกันไม่ให้ยุงกัดเป็นวิธีที่ดีที่สุด  เพราะยาป้องกันมาเลเรียชนิดไหน ๆ เชื้อมันก็ดื้อยาหมดแล้ว

                  ไข้เลือดออก ระบาดหนักมาตั้งแต่กรกฏาคมแล้ว  ไข้เลือดออกเกิดจากยุงลายที่ไข่ในน้ำขัง น้ำใสในบริเวณบ้าน  ทุกวันนี้ไม่แต่เฉพาะเด็กเล็กที่จะเป็นโรคนี้  เราพบไข้เลือดออกเป็นได้ในทุกอายุเลย  ดังนั้นต้องกำจัดแหล่งน้ำขัง  สำหรับ บ่อน้ำ อ่างบัวในบ้าน อาจจะต้องปล่อยปลาหางนกยูงลงไปให้ช่วยกำจัดลูกน้ำ

                  ถ้ามีไข้สูง อ่อนเพลีย ต้องระวังตัวว่า หากไข้ลดแล้วมีผื่นขึ้น ก็ต้องสงสัยว่าจะเป็นโรคนี้  การตรวจร่างกายและการตรวจเลือดจะช่วยยืนยันการวินิจฉัย

                  ไข้สมองอักเสบ  ไข้ชนิดนี้ก็เกิดจากยุง โดยมีหมูเป็นตัวกลาง  หากบ้านใครอยู่ในรัศมีของการเลี้ยงหมู 1 กม. จะต้องระวังลูกหลานให้ดี  หากมีไข้สูง อาเจียน ปวดศีรษะมาก ให้สงสัยว่าจะเป็นโรคนี้ให้ไปหาหมอโดยเร็วอาจจะผ่อนหนักให้เป็นเบาได้  เพราะหากสมองอักเสบก็เท่ากับสมองเสีย ถึงตายได้  หากรอด บางคนก็กลายเป็นเจ้าหญิง เจ้าชายนิทราเลย  ... อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้มีวัคซีนป้องกัน  เด็กทุกคนควรได้รับวัคซีนนี้

                 3. โรคที่มากับน้ำ  

                 ฝนมากับน้ำท่วมขังเป็นของคู่กัน  ดังนั้นในระยะนี้ แหล่งน้ำสะอาดอาจจะถูกปนเปื้อน  โรคระบาดที่ควรระวังคือโรคท้องร่วง  และที่ทางการประกาศให้คนที่ต้องลุยน้ำระวังคือ โรคฉี่หนู  ซึ่งมีอาการไข้สูง ตาแดง ปวดศีรษะ และปวดกล้ามเนื้อน่องอย่างรุนแรง  ... ดังนั้นหลังลุยน้ำทุกครั้ง ต้องล้างเท้าล้างน่องให้สะอาดด้วยการฟอกสบู่เสมอ

วิธีป้องกันโรคในหน้าฝน

                 1. เสริมภูมิต้านทาน   ด้วยการใช้วิตามินซี  วิตามินซีจะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเม็ดเลือดขาวซึ่งเป็นเซลล์ภูมิต้านทานของเรา  และทำให้เม็ดเลือดขาวอายุยืนกว่าธรรมดา หากได้วิตามินซีในระยะนี้จะช่วยทำให้ภูมิต้านทานของเราดีขึ้น

                 วิตามินซีจากอาหารมีมากในลูกมะกอก ยอดมะกอก  ตอนนี้มะกอกเริ่มออกลูก เริ่มมียอดให้เก็บ  สามารถเอามากินกับน้ำพริก ใส่มะกอกกับส้มตำ  

                 ที่คนในเมืองจะหาได้ง่ายกว่าคือ องุ่นแดง  เนื่องจากองุ่นแดงมี OPC ซึ่งมีฤทธิ์แรงกว่าวิตามินซีถึง 20 เท่า ในระยะนี้กินองุ่นแดงเป็นประจำ ก็จะช่วยได้มาก  แต่อย่าลอกเอาเปลือกมันออก เพราะตรงนั้แหละที่เป็นที่อยู่ของ OPC

                 นอกจากนี้ก็หาวิตามินซีได้จากน้ำส้มคั้นสด ๆ  ฝรั่งสด ๆ เชอร์รี่ ลูกกีวี เป็นต้น

                 หากอยากกินวิตามินซีเป็นเม็ดเลย แนะนำให้ใช้ วิตามินซีชีวภาพ (1000 มก) ประเภทกรดน้อยหรือกรดต่ำ  กินวันละ 2-4 เม็ดในระยะนี้  หากเป็นเด็กก็ให้ลดลงตามส่วน

                2. ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย   ภูมิต้านทานของเราจะดีกว่าหากร่างกายมีความอบอุ่น  ความร้อนที่มากกว่า 37 องศาซึ่งเป็นอุณหภูมิปกติของร่างกาย จะกระตุ้นการทำงานของภูมิต้านทาน หากภูมิต้านทานดีก็จะลดอัตราเสี่ยงของการติดเชื้อไวรัสลง

                 ปฏิเสธไม่ได้ว่าในระยะนี้อาจจะต้องใส่เสื้อหนา ๆ เอาเสื้อหนาวบาง ๆ ติดตัวไว้ เพื่อป้องกันร่างกายไม่ให้เย็นเกินไป  โดยเฉพาะเด็ก ๆ

                 การแช่น้ำอุ่นในอ่างที่บ้านนานประมาณ 15 นาทีในระยะนี้  จะช่วยได้  อาจจะเติมน้ำมันหอมระเหย เช่นคาโมมายล์, ยูคาลิปตัส, ที ทรี, ลงไปในอ่างน้ำ  สำหรับเด็ก ๆ แช่น้ำอุ่นในกาละมังใหญ่ ๆ จะช่วยได้มาก  หากไม่มีอ่างน้ำก็สามารถใช้กาละมังใส่น้ำอุ่นแช่เท้าทุกวัน  วิธีแช่เท้าในน้ำอุ่น มีรายงานว่าจะทำให้เลือดไปเลี้ยงแถวโพรงจมูกมากขึ้น  และเชื้อหรือไม่ว่าวิธีการง่าย ๆ แค่นี้จะช่วยป้องกันหวัดได้ดี

                  การอบสมุนไพร  การอบซาวน่าก็มีประโยชน์ในระยะนี้  แต่การอาบน้ำอุ่นจากฝักบัว  เท่านี้ไม่เป็นการเพียงพอในการเพิ่มภูมิต้านทาน

                 3. พักผ่อนให้เพียงพอ  หากร่างกายได้พักอย่างเพียงพอในระยะนี้ก็จะทำให้ภูมิต้านทานแข็งแรงกว่า  ดังนั้นอย่าปล่อยให้เด็กอดนอน  สำหรับผู้ใหญ่ก็ไม่ควรออกไปเที่ยวดึก ๆ ดื่น ๆ  การตรากตรำงาน การอดนอน และการดื่มแอลกอฮอลล้วนให้ร่างกายอ่อนเพลียและภูมิต้านทานอ่อนแอลง

                 4. หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด   การแพร่กระจายของเชื้อไวรัสหวัด ไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่  อาศัยระยะห่างประมาณ 1 เมตร  หมายความว่าหากใครไอหรือจามออกมา  ละอองไอที่เป็นที่อยู่ของเชื้อไวรัสจะฟุ้งกระจายไปในรัศมี 1 เมตร  ดังนั้นโรงภาพยนตร์ คอนเสิร์ต เครื่องบิน โรงเรียน สำนักงาน จึงเป็นแหล่งแพร่เชื้ออย่างดี

                 น่าจะถือเป็นธรรมเนียมว่าหากใครเป็นหวัด  อาจจะหยุดงานไม่ได้  แต่ควรใส่ผ้าปิดปากไว้จึงจะป้องกันการแพร่เชื้อได้  

                5. ล้างมือบ่อย ๆ   การล้างมือบ่อย ๆ จะช่วยป้องกันมือที่อาจจะไปสัมผัสเอาไวรัสจากน้ำมูกน้ำลาย เสมหะจากคนที่เป็นหวัด ไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่ ที่อาจจะป้ายเอาไว้ตามที่ต่าง ๆ เช่น ลูกบิดประตู โต๊ะ ปุ่มกดลิฟต์ สินค้าตามห้างสรรพสินค้า ไม้ให้เข้าปากเข้าตาเข้าจมูกตนเอง แล้วติดเชื้อที่คนอื่นเขาแพร่เอาไว้

                สมควรพกเจลล้างมือเอาไว้  เมื่อไม่แน่ใจว่ามือไปจับอะไรเข้า และไม่สะอาด  ให้ล้างมือทุกครั้ง

               6. ระวังยุงกัด  ยุงเป็นพาหะของไข้เลือดออก และที่อันตรายกว่าคือไข้สมองอักเสบ

               ให้กำจัดแหล่งน้ำในบ้าน  อาจจะต้องหาไม้ตียุง มาใช้ไล่ยุงในบ้าน ใช้น้ำมันหอมระเหย ปัจจุบันมีขายสำเร็จรูปแบบเสียบปลั๊กเอาไว้ในห้อง   ใช้ยาสมุนไพรทากันยุง เช่นตะไคร้หอม  จุดยากันยุงเอาไว้นอกประตูเพื่อกันไม่ให้ยุงเล็ดลอดเข้าในมุ้งลวด   

               สมัยโบราณ ชาวบ้านมักจะสุมไฟไล่ยุง  ตังนั้นอาจจะใช้วิธีเผาเปลือกส้ม ใบตะไคร้หอม เอาต้นโกฏจุฬารำพา เป็นต้นเอาไว้นอกบ้าน ริมประตูเป็นต้น